“อนุทิน” ขออย่าใช้คำแรง เขมรขัดขวางการกู้ทุ่นระเบิด อาจไม่ราบรื่นบ้าง แต่ไทยยังเดินหน้าต่อ พร้อมโบ้ยกองทัพรู้วิธีป้องกันประเทศ ขณะที่โฆษก ทบ.ย้ำขอคนไทยมั่นใจ ถึงย้ายอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน แต่ยังมีอาวุธสนับสนุนระยะไกลคุ้มครองประชาชน หากเกิดปัญหาเขมรบิดพลิ้ว ส่วนการขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ทหารกัมพูชาอ้างยังไม่มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ ด้าน “สิริพงศ์” เผยนายกฯตั้ง คกก.ขับเคลื่อนข้อตกลงไทย-กัมพูชา มี ผบ.ทสส. เป็นประธาน ขอให้มั่นใจ รบ.ไม่ย่อหย่อน-สยบยอมกัมพูชา แต่การทวงคืน 3 พื้นที่ “ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา เนิน 677” กลับระบุการปักปันเขตแดนและกรณีพิพาทที่ยังเป็นปัญหา ต้องพูดคุยกันในระดับทวิภาคี การเจรจาขอคืนพื้นที่ไม่มีกำหนดกรอบเวลา ขอเน้นทำ 4 ข้อที่ตกลงกันก่อนปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ทำท่าคลี่คลายกลับอาจไม่ราบรื่น โดยที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 พ.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีมีรายงานข่าวว่ากัมพูชาขัดขวางไม่ให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT เข้าสังเกตการณ์การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ ว่า อย่าเพิ่งไปใช้คำว่าขัดขวาง ได้พูดคุยกับ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส. เมื่อช่วงเช้าว่ายังดำเนินการอยู่ แม้อาจจะไม่ราบรื่น แต่เป้าหมายต้องชัดเจน ไม่ใช่ว่าขัดขวางแล้วฝ่ายไทยจะยอม เรายังคงย้ำในเงื่อนไข 4 ข้ออยู่ คือการถอนอาวุธ เก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามสแกมเมอร์ และการแก้ไขปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิ์ ทั้ง 4 ข้อจะต้องได้รับการตอบสนอง ฝ่ายทหารและกองทัพจึงดำเนินการในเรื่องเชลยศึก การปักปันเขตแดน และการพูดคุยเรื่องอื่นๆต่อไป ยืนยันว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของกัมพูชานายอนุทินยังย้ำถึงกระแสข่าวว่ากัมพูชาขนอาวุธหนักกลับมาในพื้นที่ชายแดนว่าไม่มียืนยันต่างฝ่ายต่างถอยออกไป เพราะข้อตกลงที่ทำไว้คือต่างคนต่างถอนอาวุธ ถ้าเข้ามาคือการฉีกข้อตกลง และจะถือว่าไม่มีข้อตกลง และสามารถทำตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม และจะลงพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาถ้ามีความจำเป็น เพื่อดูว่าทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงหรือเปล่า ส่วนที่ประชาชนกังวลหากกัมพูชาไม่ทำตามข้อตกลง ได้ถาม ผบ.ทสส. และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก เขาต้องรู้ว่าเขาต้องปกป้องประเทศอย่างไร ขอให้เชื่อมั่นและมั่นใจในกองทัพต่อมา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงข้อกังวลของประชาชนต่อการถอนอาวุธกลับที่ตั้ง จ.ลพบุรี อาจไกลจากพื้นที่ชายแดนมากเกินไป ว่าแผนการถอนอาวุธครั้งนี้ดำเนินการเฉพาะอาวุธหนัก 3 กลุ่ม ที่อาจส่งผลต่อประชาชนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร แต่มีส่วนอื่นที่ยังคงอยู่ และไทยยังมีอาวุธสนับสนุนระยะไกล เพื่อปกป้องประชาชนกรณีมีเหตุฉุกเฉินและมีกลไกเสริมหลายวิธีที่สามารถปฏิบัติได้ ยอมรับว่าในทางทหารระยะทางอาจมีผลต่อการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนักเข้าพื้นที่บ้าง แต่ยังมีองค์ประกอบสนับสนุนอื่นที่สามารถนำมาชดเชยได้ อยู่ที่วิธีบริหารจัดการรองรับต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้อาวุธบางส่วนถูกปรับออกจากพื้นที่ แต่ยังคงมีกองกำลังป้องกันชายแดนประจำอยู่ เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวังและรักษาปกป้องอธิปไตยตามปกติ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพบกในการทำหน้าที่ปกป้อง รักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติอย่างดีที่สุดส่วนกระแสข่าวฝ่ายกัมพูชาขัดขวางไม่ให้ AOT เข้าสังเกตการณ์เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พล.ต.วินธัยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี เกี่ยวกับการเก็บกู้ทุ่น ระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ในพื้นที่ช่องสายตะกู ซึ่งเริ่มดำเนินการตามแผนตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2568 ปัจจุบัน TMAC เข้าพิสูจน์ทราบพื้นที่แล้วร้อยละ 7.62 ของพื้นที่ทั้งหมด 355,026 ตารางเมตร ระหว่างการปฏิบัติงานพบปัญหาและข้อขัดข้องบางประการ ดังนี้ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ขณะฝ่ายไทยดำเนินการในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย โดยอ้างอิงเส้นปฏิบัติการตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ได้พบทหารกัมพูชาอยู่ในเส้นทางปฏิบัติการ จึงเข้าเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ผลการเจรจา ฝ่ายกัมพูชาขอให้ฝ่ายไทยดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ฝั่งไทย โดยอ้างอิงแนวเส้นทางลาดตระเวนเดิม และขอไม่ให้มีการดัดแปลงพื้นที่ เช่น การวางลวดหนาม แต่สามารถทำการถากถางพื้นที่ หรือทำเครื่องหมายได้ ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาแจ้งเพิ่มเติมว่า ยังไม่สามารถเริ่มพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิดในฝั่งของตนได้ เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งจากหน่วยเหนือโฆษก ทบ.กล่าวอีกว่า ภายหลังการเจรจา ฝ่ายไทยได้ดำเนินการต่อไปตามแผนงานในเขตไทย โดยมีทหารกัมพูชาเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องจนเสร็จสิ้นภารกิจในวันนั้น ต่อมาในวันที่ 1 พ.ย.คณะ AOT ฝ่ายไทยลงพื้นที่ร่วมสังเกตการณ์การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในบริเวณช่องสายตะกู ฝ่ายไทยรายงานผลการดำเนินงานและปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้คณะ AOT ฝ่ายไทยได้รับทราบ ทั้งนี้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ปัจจุบันฝ่ายไทยดำเนินการตามแผนที่เสนอต่อฝ่ายกัมพูชา ครอบคลุมทั้ง 13 พื้นที่ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อมาเวลา 13.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อม พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร่วมแถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) โดยนายสิริพงศ์แถลงว่า นายกฯ มีคำสั่งจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามเอกสารถ้อยแถลงผลการพบปะหารือระหว่างนายกฯไทยกับนายกฯกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานคณะกรรมการ มีหน้าที่ติดตามประเมินผลการดำเนินการของทั้งฝั่งกัมพูชาและไทย อำนวยการคณะสังเกตการณ์เพื่อให้การสังเกตการณ์เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยส่วนแนวทางการทวงคืน ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา เนิน 677 นั้น นายสิริพงศ์ตอบว่า การปักปันเขตแดน และกรณีพิพาทที่ยังเป็นปัญหาอยู่ ต้องพูดคุยกันในระดับทวิภาคี ซึ่งการเจรจาขอคืนพื้นที่ยังไม่มีกรอบเวลา ให้ทำใน 4 ประเด็นใหญ่ก่อนและไม่มีการพูดถึงการเปิดด่าน เพราะนโยบายรัฐบาลชัดเจนว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะพิจารณา หลังจากกัมพูชาทำตามเงื่อนไขทั้งหมดที่ให้คำมั่นไว้ในถ้อยแถลงเท่านั้น ขอให้มั่นใจได้ว่ารัฐบาลไม่ได้ย่อหย่อนและไม่มีทางสยบยอมต่อกัมพูชาแน่นอน รวมถึงการปล่อยตัว 18 ทหารกัมพูชา จะเริ่มเมื่อกัมพูชาดำเนินการ 4 ข้ออย่างจริงจังด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า คาดว่าการถอนกำลังและอาวุธหนักทั้งหมดจะจบสิ้นภายในสิ้นปี ครอบคลุมเวลาทั้งหมด 2 เดือน ส่วนข้อห่วงใยของประชาชนเรื่องการถอนอาวุธ ขอยืนยันเป็นแค่การถอนอาวุธหนัก ไม่มีการถอนกองกำลังป้องกันชายแดนที่วางกำลังในพื้นที่เดิมอยู่แล้ว ขอให้ความมั่นใจว่ากองทัพยังคงปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการถอนกำลังหมด พร้อมยืนยันว่ากัมพูชาถอนอาวุธหนักจริง เพราะเรามีกลไกคณะผู้สังเกตการณ์จากผู้แทนสมาชิกอาเซียน (AOT) 8 ประเทศ มีหน้าที่รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรงของเขา ถ้ามีปัญหาใดๆ ทางฝ่ายไทยหรือฝ่ายกัมพูชาจะรายงานหรือแจ้งไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้รายงานและสร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด มีการตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (JCTF) ขึ้นมาเพื่อประสานงานในพื้นที่ต่างๆ เข้าไปเก็บกู้ระเบิด โดยฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ ที่ผ่านมาดำเนินการไปบ้างแล้ว และยืนยันไม่มีกองกำลังของอาเซียนเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ เป็นเพียงผู้แทนของประเทศทางการทูตเท่านั้นขณะที่นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงผลสรุปการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดเวลาที่ผ่านมาว่า การประชุมสมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 21-22 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ จ.จันทบุรี ผลลัพธ์การประชุมแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การซ่อมแซมและจัดทำหลักเขตแดน เพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ทั้งสองฝ่ายเคยมีความเห็นตรงกันแล้ว 2.เร่งรัดแก้ไขทีโออาร์ปี 2003 เพื่อนำเทคโนโลยีไลดาร์ (LiDAR) มาใช้ทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ โดยเห็นชอบให้ทดลองใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ภายในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ธ.ค.นี้ 3.เห็นพ้องต่อกระบวนการสำรวจและจัดทำหมุดชั่วคราวอย่างเร่งด่วน บริเวณหลักเขตแดน 42-47 พื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจน หวังว่ามีส่วนช่วยลดการกระทบกระทั่ง และความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆทั้งนี้ ที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 3 พ.ย.หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 1 ร่วมกับกองพันทหารช่างที่ 2 เร่งนำรถสนับสนุนกวาดล้างทุ่นระเบิดเข้าพื้นที่หลักเขต 47 บ้านหนองจาน เพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จ ก่อนถึงกำหนดการปักหมุดแนวเขตแดนชั่วคราวระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันที่ 17 พ.ย.นี้ โดยตลอดช่วงเช้า มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ ไม่พบฝ่ายกัมพูชาเข้าร่วมปฏิบัติการแต่อย่างใด ส่วนที่บ้านหนองหญ้าแก้ว เจ้าหน้าที่เริ่มแผนปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ติดแนวชายแดนกัมพูชา สามารถเคลียร์พื้นที่แล้วราว 10,000 ตารางเมตร เหลืออีกกว่า 190,000 ตารางเมตร โดยมีทหารกัมพูชาและชาวบ้านฝั่งตรงข้าม ยืนเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดส่วนที่ อ.กาบเชิง เทศบาลกาบเชิง อบต.ตะเคียนและ อบต.ด่าน ได้นำธงชาติคู่มาแขวนไว้ตามเสาไฟส่องสว่างบนเกาะกลางถนนยาวหลายกิโลเมตร เป็นที่ชื่นชมของชาวบ้านอย่างมาก โดยนายอุทัย สมสุข พ่อค้าขายไก่ย่าง ย่านการค้าตลาดชายแดนช่องจอม กล่าวว่า อบต.ด่าน นำธงชาติมาติดสวยงามดี แสดงออกถึงความรักชาติ หวงแหนแผ่นดิน เช่น ปราสาทตาควายที่ยังไม่ได้คืนมา และวันที่ 7 พ.ย.นี้ จะมีการจัดกิจกรรมทวงคืนปราสาทตาควายที่โรงเรียนโคกตะเคียนวิทยา ก็จะไปร่วมงาน อยากให้คนไทยช่วยกันทวงปราสาทตาควายคืนให้ได้อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่