ณ จุดที่ประชาคมโลกต้องตื่นผวา ตื่นกลัว ตื่นตัว กับบุรุษนามว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ทำพิธีสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งผู้นำมหาอำนาจโลกอย่างเป็นทางการยึดแท่น “ผู้ทรงอิทธิพลเบอร์หนึ่ง” ในเวทีนานาชาติกับมาดของ “คาวบอยเฒ่า” จอมห้าว ขาบู๊ ผู้ครบเครื่อง ครบสูตร ทั้งลูกบ้า ลูกเก๋า ลูกเขี้ยว ฉลาด เจ้าเล่ห์ ยากที่เดาทางได้ง่ายๆ นอกจากพญามังกร “สี จิ้นผิง” แห่งเมืองจีน กับพญาหมีขาว “วลาดิเมียร์ ปูติน” แห่งรัสเซีย มวยเบอร์ใหญ่ที่พอฟัดพอเหวี่ยง เทียบรุ่น ฟอร์มทันกันนอกนั้นอย่าหาญข้ามชั้นไปเปรียบมวยกับ “คาวบอยเฒ่า” ให้เสียราคาโดยสถานการณ์ของมวยตัวเล็กอย่างประเทศไทย ต้องอาศัยลีลาเด้งเชือก เต้นฟุตเวิร์ก เลี่ยงปะทะ หลบหลีกให้ดี เพราะอย่างไรเสียก็หนีไม่พ้นแรงกระแทกจาก “ทรัมป์” อาละวาด “ฟาดหาง”ไม่ต้องหวังลมๆแล้งๆกับสถานะ “มิตรเก่าแก่”ตามสถานะของประเทศคู่ค้าที่ถูกขึ้นบัญชีจับตา “เกินดุล” สหรัฐฯมากเป็นเบอร์ต้นๆ และโดยเงื่อนไขไทย ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนจีนที่จะย้ายฐานการผลิตมาที่อาเซียน เพื่อหลบเลี่ยง “มาตรการกำแพงภาษี”“คาวบอยเฒ่า” ไล่บี้ ไล่ต้อน ไม่ปล่อยให้โกยกำไรสบายๆแน่โอกาสพึ่งการส่งออกสหรัฐฯส่อแววไม่สดใส และนั่นก็จำเป็นต้องหาช่องทางใหม่ๆเผื่อไว้ ตามจังหวะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปร่วมประชุม WEF ครั้งที่ 25 ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิสโชว์ดีลธุรกิจ เจรจากับกลุ่มทุนยักษ์ระดับโลก ลุ้นปักหมุดที่เมืองไทยอย่างน้อยก็พอได้ “ใจชื้น” เป็นการจุดประกายความหวังกับสภาพเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เศรษฐกิจปากท้องจะฟื้นกี่โมง แม้แต่ “นายกฯคนพ่อ” อย่างนายทักษิณ ชินวัตร โคตรเซียนในตำนานยังตอบไม่ได้ในเมื่อปัจจัยตัวแปรสลับซับซ้อนตามพลวัตรโลกยุคใหม่แถมในสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ปัญหาโลกแตกเบียดแซงปาดหน้ากันไม่ให้หายใจหายคอ จังหวะ “นายกฯอิ๊งค์” ไปดีลธุรกิจหาช่องทาง “เพิ่มโอกาส”ก็มีเสียงตะโกนจากเมืองไทย ประชาชนขอ “อากาศสะอาด” ฉุกเฉินด่วนตามภาวะซีเรียส “ฝุ่นมรณะ PM 2.5 ครอบเมือง” เหมือนหมอกปกคลุมจนมืดมัว ครึ้มไปหมด ราวกับฉากภาพยนตร์ บรรยากาศใกล้วันสิ้นโลกแต่มันคือสถานการณ์ “เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย” ของจริงสิ่งที่ยืนยันด้วยเครื่องตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ ตัวเลขชวนขนหัวลุก เมืองไทยมีมลพิษทางอากาศไต่ระดับไปอยู่อันดับ 7 ของโลก หนักหนาสาหัสสุดก็คือกรุงเทพมหานคร รหัส “สีแดงเต็มพื้นที่” ค่าฝุ่นทะลักเกือบแตะหลัก 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทะลุขีดระดับอันตราย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้คนอย่างรุนแรงถึงจุดที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.บุรุษ ผู้แข็งแกร่งสุดในปฐพี ยังต้องยอมถอยกรูด หลังทดลองวิ่งออกกำลังกาย ใช้ปอดตัวเองทดสอบฝุ่นพิษ PM 2.5 แล้ว อึดสู้ไม่ไหวสั่งอัด “ยาแรง” งัดมาตรการเข้มสุดในการรับมือฝุ่นครอบเมืองสั่งปิดโรงเรียนในสังกัด กทม. นำร่องมาตรการ “เวิร์กฟรอมโฮม” ขอความร่วมมือหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน ให้คนทำงานอยู่กับบ้าน งดการเดินทาง ลดการปล่อยฝุ่นจากควันไอเสียรถยนต์ตั้งด่านตรวจรถบรรทุก สกัดรถควันดำ ห้ามเข้าเขตกรุงเทพฯชั้นใน และน่าจะหมายรวมถึงการสั่งให้หยุดงานก่อสร้างโครงการสาธารณะใหญ่ๆหรือคอนโดมิเนียม ที่ก่อปัญหาฝุ่นควันไว้ชั่วคราวกทม.เปิดปฏิบัติการลุยคลุกฝุ่น PM 2.5 แบบถึงลูกถึงคนและก็ทนนิ่งอยู่ไม่ได้เหมือนกัน น.ส.แพทองธาร ต้องเทกแอ็กชันต่อสายประชุมทางไกลจากเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สั่งการให้ทุกหน่วยงานระดมสรรพกำลังแก้ไขสถานการณ์ฝุ่นควันพิษเร่งด่วนทันทีโดยการติดตามความคืบหน้าแบบวันต่อวันตามจังหวะไล่บี้กดดันจาก “กุมารเท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดในสภา กระตุก “นายกฯอิ๊งค์” อย่ามัวแต่สูดอากาศดีอยู่ดาวอส ลอยตัวเหนือปัญหาประจานการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ของรัฐบาลล่าช้าทั้งที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แนวโน้มสถานการณ์ฝุ่นควันพิษเป็นวิกฤติหนักที่เกิดขึ้นทุกปีและหนักหน่วงรุนแรงขึ้นในห้วงหลายปีหลัง แต่รัฐบาลเพื่อไทยยังชะล่าใจโดยเห็นได้ชัดๆจากมาตรการรับซื้ออ้อยสด ตามข่าวที่รถบรรทุกอ้อยเผาไปจอดค้างหน้าโรงงานน้ำตาลในจังหวัดอุดรธานีเป็นจำนวนมาก ผลจากคณะรัฐมนตรีไร้มาตรการชัดเจนในการงดรับซื้ออ้อยเผา ที่เพิ่มปัญหาควันพิษ จุดต้นตอวิกฤติก่อม็อบปิดถนน ประท้วงกันวุ่นวายเรื่องของเรื่องในขณะที่ฝ่ายค้านไล่จี้ปมปัญหาควันจากการเผาอ้อยได้ตรงเป้า ก็ยังไม่วายมีการฟาดปากกันเองในรัฐบาล อาการฉุนเฉียวใส่ข้าราชการฝ่ายปฏิบัติ แบบที่นายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามสดนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม จากค่ายรวมไทยสร้างชาติซัดคำสั่งปิดโรงงานน้ำตาลที่ฝืนกฎรับซื้ออ้อยเผา ทำชาวไร่เดือดร้อนถึงตอนที่วิกฤติฝุ่นควันพิษเข้าขั้นคอขาดบาดตาย ไม่วายที่ “นักเลือกตั้งอาชีพ” ยังมีอารมณ์กระโดดโหนฐานคะแนนเสียง โดยไม่ยึดหลักการใหญ่ภาพกว้าง สร้างความสับสนในทิศทางของรัฐบาลโดยจังหวะสถานการณ์ “นายกฯคนลูก” กำลังสำลักฝุ่น PM 2.5ในขณะที่ “นายกฯคนพ่อ” ก็ตั้งหน้าตั้งตาลุยคลุกฝุ่นการเมือง ตามจังหวะนายทักษิณ เดินสายขึ้นเวทีปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย เร่งเครื่อง เหยียบคันเร่งมิดไมล์ในห้วงโค้งสุดท้ายสไตล์ “เสือเฒ่า” ฟอร์มเก๋า ปะฉะดะ ท้ารบไปรอบทิศโยงการเมืองสนามเล็กกับการเมืองสนามใหญ่ อาศัย “ลูกติดพัน” นัวเนียเกมหักเหลี่ยมเฉือนคมขั้วขัดแย้งในเกมอำนาจที่ฟาดฟันกันไม่เลิกราด่ากราดฝ่ายต่อต้าน ท้ารบขบวนการไล่บี้เคลียร์บิลชั้น 14ลีลาดุเด็ดเผ็ดมัน อารมณ์เร้าอุณหภูมิเดือดแบบที่โดน “ป้าเสื้อแดง” ที่อ้างชีวิตพังจากการเลือกข้าง “นายใหญ่” ทนฟังไม่ไหว ระเบิดความแค้นใจ ปา ถุงขยะ ขวดน้ำขึ้นบนเวที ต่อหน้าต่อตาทีมงานเพื่อไทย ตกตะลึงหน้าเหวอ ไปตามๆกันแต่ “เถ้าแก่ใหญ่” ยังเก๋าพอที่จะกลั้นอารมณ์ ไม่ถือสา ต้องให้อภัยกันนั่นก็เพราะต้องเบรก “มหาสารคามโมเดล” ไม่ให้เป็นลัทธิเอาอย่างทั้งหมดทั้งปวง โฟกัสเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ อดีตนายกฯในตำนานลุยคลุกฝุ่นเกมเลือกตั้งนายก อบจ.ภาคอีสาน ปักหมุดชัยภูมิสำคัญ ไล่จากจังหวัดนครพนม บึงกาฬ หนองคาย มหาสารคาม และศรีสะเกษล็อกเป้า “บ้านใหญ่” ท้ารบเจ้าถิ่นค่ายสีน้ำเงินตามรูปเกมที่อยู่นอกเหนือ “ปฏิญญามาม่า” ไม่อยู่ในข้อตกลง “วงบะหมี่” จันทร์ส่องหล้า อดีตนายกฯในตำนาน ไม่ได้ไว้ไมตรีกับ 2 คู่หู “อนุทิน ชาญวีรกูล– เนวิน ชิดชอบ” สองผู้ยิ่งใหญ่ ค่ายภูมิใจไทย“เก๋า” ตบ “เกรียน” ฟอร์มข่ม แก่แล้วด่าได้หมด หลังเลือกตั้งค่อยว่ากันและนั่นก็ไม่สนเหมือนกัน 2 น. เซราะกราว ส่งสัญญาณผ่านทุกวง ยิงสารตรงถึง “นายใหญ่” ไม่มีทางยอมถอยให้แน่ สู้กันแค่กระสุนหมดหน้าตักยกระดับปะทะหักเหลี่ยม เฉือนคม ยั่วเกมล้มเดิมพันล้อไปกับคิวที่ทีมมหาดไทย ภายใต้บังเหียนของ “อนุทิน” ไฟเขียวให้ยึดคืนอาณาจักรอัลไพน์ของตระกูลชินฯคืนเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ อารมณ์ “ทักษิณ” ปลงตกเอาไงเอากัน รำคาญเต็มที แต่อีกทางก็กระตุกกระทรวงคมนาคม บี้การรถไฟฯเร่งอุทธรณ์ศาลปกครอง ลุยยึดอาณาจักรเขากระโดง บุรีรัมย์ ของตระกูลชิดชอบคิวบู๊เก๋าตบเกรียน ตีคู่กับฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชนฝุ่นในขบวนโหนอำนาจอนุรักษ์นิยมส่อเกินขีดรับประกันสุขภาพรัฐบาล.ทีมข่าวการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม