วิกฤติศรัทธาที่กำลังกัดกร่อนรากฐานพุทธศาสนาที่เป็นหนึ่งในสถาบันหลักของประเทศไทย อันเป็นผลพวงจากกรณีข่าวฉาวพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่มั่วสีกา และยักยอกเงินวัด อันมีผลกระทบรุนแรงต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ที่มีต่อวงการสงฆ์ แม้พระสงฆ์ที่ตกเป็นข่าวในทางเสื่อมเสียเป็นเพียงส่วนน้อยก็ตามแต่เกิดปรากฏการณ์ประชาชนมาวัดทำบุญในวันพระลดลงและเงินทำบุญลดลงเช่นกัน ประมาณร้อยละ 60 สถาน การณ์เช่นนี้ส่งผลกระทบต่อวัดทั่วประเทศ ไทยทำให้วัดต่างๆเผชิญปัญหาไม่มีเงิน จ่ายค่าน้ำประปา ไฟฟ้า โดยพระผู้ใหญ่ระบุว่ามีวัดที่ช่วยตัวเองได้ ไม่เกิน 1,000 วัด จากจำนวนวัดทั่วประเทศกว่า 4 หมื่นวัดคนส่วนหนึ่งนอกจากไม่ไปทำบุญ ยังคลายความเชื่อถือศรัทธาลงไปมากถึงขั้นผู้สูงอายุบางคนต้องแอบไปทำบุญเพื่อไม่ให้ลูกหลานรู้ เพราะลูกหลานไม่ยอม และลูกหลานก็ปฏิบัติกับพระสงฆ์ ในทำนอง ไม่ให้ความเคารพพระเท่าที่ควร โจทย์ใหญ่ไม่ง่ายที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขให้ชาวพุทธ กลับมามีความศรัทธาเหมือนเดิมศาสนาพุทธมีปัญหาจ่อกลายเป็นวิกฤติที่อันตรายอย่างยิ่ง นั่นเป็นการตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถามนายกรัฐมนตรี ของนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ประชาธิปัตย์ โดย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ที่มาตอบกระทู้แทนนายกฯ รับปากจะแก้ปัญหาเร่งด่วนตามมาตรการที่มีอยู่แล้วและเร่งแก้ปัญหาที่ยั่งยืนวิธีแก้ปัญหาฟื้นศรัทธาที่ต้นตอ ต้องอาศัยความร่วมมือจากพุทธจักรหรือสงฆ์ พุทธบริษัทหรือฆราวาส และอาณาจักร หรืออำนาจรัฐ สามเสาหลักค้ำซึ่งกันและกันมาตลอด ถึงทำให้พระศาสนารุ่งเรืองยาวนานกว่า 2 พันปี นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเมื่อนายกฯเตรียมลงนามร่างระเบียบสำนัก นายกฯว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คพช.) คณะอนุกรรมการฯระดับจังหวัด (อ.คพจ.) และ วางโครงสร้างครอบคลุมทุกมิติ ทั้งรับเรื่องร้องเรียนพระภิกษุที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย จัดระเบียบที่ดินทรัพย์สินวัดให้โปร่งใส นำระบบบัญชีการเงินวัดที่รัดกุม และระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์มาใช้แยกเงินวัดและเงินส่วนตัวก้าวแรกสังคายนาวงการสงฆ์ หัวใจสำคัญของกฎหมายดังกล่าวอยู่ที่การบังคับใช้ โดยเฉพาะ คพช. และ อ.คพจ. ต้องไม่กลายเป็นเสือกระดาษ ถึงเวลาควรดำเนินการทุกอย่างด้วยความเคารพภายใต้พระสังฆราชานุมัติ และความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เพื่อเรียกความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนให้กลับคืนมาอย่างแท้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม